สุขภาพทางเพศ

สุขภาพทางเพศ คืออีกหนึ่งส่วนสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข Hello คุณหมอ จึงอยากนำเสนอเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ทั้งการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไปจนถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ให้ผู้อ่านได้มีสุขภาพทางเพศที่ดีมากยิ่งขึ้น

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพทางเพศ

มูกไข่ตก เป็นอย่างไร ส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือไม่

ไข่ตกเป็นกลไกธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับร่างกายผู้หญิง เมื่อถึงวัยมีประจำเดือน โดยไข่ตกจะใช้เวลาเฉลี่ยรอบละ 28 – 35 วัน นับจากวันแรกที่ประจำเดือนมา ซึ่งวันไข่ตกจะเป็นวันที่ไข่สุกออกจากรังไข่ จากนั้นไปยังส่วนปลายของท่อนำไข่ สำหรับมูกไข่ตกเป็นสัญญาณของร่างกายบ่งบอกว่าเป็นช่วงวันไข่ตก คนที่วางแผนมีลูกควรมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้ [embed-health-tool-ovulation] มูกไข่ตก เป็นอย่างไร มูกไข่ตกจะมีลักษณะเป็นของเหลวที่ร่างกายผลิตออกมา ซึ่งจะขับออกจากปากมดลูก มูกชนิดนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มูกช่องคลอด (Cervical Mucus) หรือตกขาว โดยมูกไข่ตกหลั่งออกมาจากต่อมบริเวณปากมดลูก ไม่เหมือนกับน้ำหล่อลื่นที่หลั่งจากช่องคลอด (Vagina) ลักษณะของมูกไข่ตกและปริมาณของมูกสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นมูกไข่ตกให้หลั่งออกมา เพราะช่วงระหว่างรอบเดือน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น  ลักษณะของมูกช่องคลอด  ลักษณะของมูกไข่ตกหรือมูกช่องคลอด จะเปลี่ยนแปลงในรอบ 28 วัน สำหรับผู้ที่วางแผนการมีบุตร สามารถสังเกตมูกไข่ตกได้ดังนี้ มูกช่องคลอดหลังหมดรอบเดือน : หลังจากมีประจำเดือนไปแล้ว ร่างกายจะผลิตมูกช่องคลอดออกมาน้อย อาจพบว่ามูกจะมีลักษณะแห้ง ๆ หรือเหนียวข้น แต่พบได้น้อยมาก มูกก่อนไข่ตก : ลักษณะของมูกจะเริ่มมีสีขาวคล้ายครีม อาจมีความข้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มูกไข่ตก : ก่อนวันไข่ตกเล็กน้อย มูกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีใส ๆ คล้ายไข่ขาวดิบ จนถึงวันไข่ตก มูกจะเหนียวใส ลื่นแล้วยืดหยุ่นดี แสดงถึงความชุ่มชื้นสูง ผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์สามารถเริ่มมีเพศสัมพันธ์ได้ […]

สำรวจ สุขภาพทางเพศ

สุขภาพทางเพศ

ยาขับเลือด คืออะไร และควรใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ยาขับเลือด เป็นยาสตรีแผนโบราณที่ประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด มีทั้งชนิดน้ำและชนิดเม็ดสำหรับรับประทาน สรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ปรับสมดุลฮอร์โมน ปรับการหมุนเวียนโลหิต และช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ ซึ่งหากรับประทานยาขับเลือดอย่างถูกวิธีก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงมากมาย แต่หากรับประทานผิดก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนรับประทานยาทุกชนิดควรขอคำปรึกษาจากคุณหมอ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา [embed-health-tool-ovulation] ยาขับเลือด คืออะไร ยาขับเลือด หรือที่หลายคนอาจรู้จักกันในชื่อของ ยาสตรี เป็นยาสมุนไพรที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรหลายชนิด เช่น ขิง ดีปรี พริกไทย น้ำมันสะระแหน่ ดอกคำฝอย ชะเอม โกฐเชียง โกฐหัวบัว กิ่งอบเชย ว่านชักมดลูก กวาวเครือขาว เทียนดำ เทียนแดง ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงร่างกาย และอื่น ๆ ดังนี้ บำรุงโลหิต กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดี บรรเทาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการตกขาว ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา โดยสมุนไพรในยาขับเลือดมีคุณสมบัติคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ช่วยในการสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกให้หนาขึ้น และเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกและสลายตัวกลายเป็นเลือดประจำเดือน ส่งผลให้ผู้หญิงประจำเดือนมาปกติมากขึ้น ยาขับเลือด ใช้อย่างไร ปัจจุบันยาขับเลือดมี 2 ชนิดให้เลือกรับประทานได้ตามความสะดวก คือ ชนิดน้ำและชนิดเม็ด โดยแต่ละชนิดอาจมีวิธีรับประทานที่แตกต่างกัน ดังนี้ ยาขับเลือดชนิดน้ำ รับประทานครั้งละ 2 […]


สุขภาพทางเพศ

ตกขาวสีเขียวอันตรายไหม ควรดูแลตัวเองอย่างไร

ผู้หญิงหลายคนที่พบความผิดปกติของตกขาว อาจสงสัยว่าหากมี ตกขาวสีเขียวอันตรายไหม หากมีตกขาวสีเขียวแต่ไม่มีอาการอื่น ๆ เช่น กลิ่นเหม็นเปรี้ยว ตกขาวเป็นฟอง ผื่นแดง แสบร้อน คันบริเวณอวัยวะเพศ ก็อาจไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่หากมีอาการดังที่กล่าวมาร่วมด้วยควรเข้าพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุ เพราะอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ [embed-health-tool-ovulation] ตกขาวสีเขียว เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ตกขาวสีเขียวส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิจากการมีเพศสัมพันธ์ และอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ เพราะการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การเข้าห้องน้ำสาธารณะ การสวนล้างอวัยวะเพศ เป็นต้น ส่งผลให้แบคทีเรียในช่องคลอดเสียสมดุล ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและทำให้มีอาการตกขาวสีเหลือง เขียว เทา ตกขาวมีกลิ่น คันและแสบร้อนช่องคลอด ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID) เป็นการติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ส่วนใหญ่เกิดจากโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการสวนล้างช่องคลอด หลังคลอดบุตร การแท้งบุตร เป็นต้น อาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ปวดท้อง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวสีเขียวหรือสีเหลือง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis […]


สุขภาพทางเพศ

รอบเดือนเกิน 35 วัน ผิดปกติหรือไม่ และเกิดจากสาเหตุใด

ปกติ ผู้หญิงจะมีรอบเดือน 21-35 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 28 วัน หาก รอบเดือนเกิน 35 วัน อาจเป็นภาวะผิดปกติที่มีสาเหตุมาจากกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ กลุ่มอาการคุชชิงโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น การรักษาภาวะรอบเดือนเกิน 35 วันสามารถทำได้ด้วยการรักษาภาวะสุขภาพที่เป็นสาเหตุ เพื่อทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์กลับมาทำงานเป็นปกติ [embed-health-tool-ovulation] รอบเดือนเกิน 35 วัน ผิดปกติหรือไม่ ตามปกติแล้ว ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีประจำเดือนนานประมาณ 4-7 วัน และจะมีรอบเดือนประมาณ 21-35 วัน และมีรอบเดือนเฉลี่ยประมาณ 28 วัน ขึ้นอยู่กับอายุและภาวะสุขภาพด้วย ทั้งนี้ หากมีจำนวนวันในแต่ละรอบเดือนเท่า ๆ กัน แสดงว่ารอบเดือนเป็นปกติ สำหรับการมีรอบเดือนเกิน 35 วัน เรียกว่ารอบเดือนห่าง หรือรอบระดูห่าง (Oligomenorrhea) ทำให้ใน 1 ปีมีรอบเดือนน้อยลงและอาจมีประจำเดือนเพียง 4-9 ครั้งเท่านั้น ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อยนักในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แต่ก็ควรเข้าพบคุณหมอ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด รอบเดือนเกิน 35 วัน เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง การมีรอบเดือนเกิน 35 วัน […]


สุขภาพทางเพศ

มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เกิดจากสาเหตุใด

ตามปกติแล้ว ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีประจำเดือนหรือเมนส์มาเป็นประจำทุกเดือน เนื่องจากเยื่อบุผนังมดลูกหลุดลอกออกตามธรรมชาติ ประจำเดือนของแต่ละคนจะมีลักษณะและปริมาณแตกต่างกันไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของร่างกาย แต่หากพบว่า มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด ในช่วงที่ไม่ได้เป็นประจำเดือน ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดท้องน้อย ตกขาวเปลี่ยนสี แสบช่องคลอด [embed-health-tool-bmi] มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เกิดจากสาเหตุใด อาการมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด ที่เกิดขึ้นขณะไม่ได้เป็นประจำเดือน อาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้ ระดับฮอร์โมนผิดปกติ หากระดับฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ อาจทำให้การรับส่งสัญญาณผิดพลาดและทำให้มีมูกเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน อาจพบได้ในผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมาก โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ด้วยการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนยังอาจทำให้วัยรุ่นที่เพิ่งเข้าสู่ช่วงเป็นประจำเดือนและผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองมีมูกเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่คาดคิดได้ การตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ในระยะแรกอาจทำให้มีมูกเลือดไหลจากช่องคลอด อาจเกิดจากตัวอ่อนฝังตัวเข้ากับโพรงมดลูก หรือที่เรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก และขณะตั้งครรภ์ปากมดลูกอาจมีเลือดออกได้ง่ายเพราะมีหลอดเลือดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ถ่างช่องคลอดเพื่อตรวจภายในก็อาจทำให้มีมูกเลือดออกทางช่องคลอดได้เช่นกัน ทั้งนี้ หากมีมูกเลือดออกในปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ อาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพอื่น ๆ เช่น การแท้ง การตั้งครรภ์นอกมดลูก การคลอดก่อนกำหนด ปัญหาเกี่ยวกับมดลูก ปัญหาเกี่ยวกับรก ควรไปพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม การคุมกำเนิด การคุมกำเนิดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ห่วงคุมกำเนิด (intrauterine device หรือ IUD) อาจกระทบต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ จนทำให้ มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด ในช่วงเวลาที่แตกต่างไปจากปกติได้ ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ แม้อาการมีมูกเลือดออกทางช่องคลอดในกรณีนี้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์อย่างรังไข่ ปากมดลูก มดลูก […]


สุขภาพทางเพศ

วิธีรักษาตกขาวปนเลือด ทำได้อย่างไรบ้าง

ตกขาวปนเลือด (Bloody Vaginal Discharge) เป็นอาการตกขาวผิดปกติ ที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะสุขภาพบางประการ วิธีรักษาตกขาวปนเลือด และอาการตกขาวผิดปกติอื่น ๆ เช่น มีกลิ่นเหม็น เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เขียว น้ำตาล จะแตกต่างไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ผู้ที่มีปัญหาควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาให้หายโดยเร็ว [embed-health-tool-bmi] สาเหตุ และ วิธีรักษาตกขาวปนเลือด โดยทั่วไป ตกขาวจะมีลักษณะเป็นของเหลว ใส ทำหน้าที่หล่อลื่นช่องคลอด ช่วยรักษาความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอด หากตกขาวปนเลือดควรไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ เพราะสาเหตุของตกขาวปนเลือดนั้นมีด้วยกันหลายประการ วิธีรักษาตกขาวปนเลือด จึงแตกต่างกันไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนอาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนในช่วงวันอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วันมีประจำเดือนตามรอบเดือน จึงส่งผลให้มีตกขาวปนเลือดได้ ซึ่งอาจพบได้บ่อยในวัยรุ่นที่เพิ่งมีประจำเดือนและผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน วิธีรักษา อาการที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจบรรเทาลงได้ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมโดยการควบคุมอาหาร ลดการกินจุกจิบ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้น้ำหนักลดลงและทำให้ฮอร์โมนกลับมาสมดุล เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปมักทำให้ระดับฮอร์โมนแปรปรวนได้ การตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์ กระบวนการตกไข่จะหยุดทำงาน ทำให้ไม่มีประจำเดือนตลอดการตั้งครรภ์ และร่างกายจะผลิตมูกปากมดลูก (Mucus plug) อุดบริเวณปากมดลูกไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค เช่น เชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่มดลูกจนทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ เมื่อถึงช่วงใกล้คลอด ปากมดลูกจะหดและขยายตัว ส่งผลให้เส้นเลือดบริเวณปากมดลูกแตก ทำให้มีเลือดไหลปนออกมากับมูกปากมดลูก เรียกว่า มูกเลือด (Bloody show) […]


สุขภาพทางเพศ

ผู้ชายเสื่อมสมรรถภาพ อายุเท่าไหร่ มีสาเหตุมาจากอะไร

ผู้ชายเสื่อมสมรรภาพ อายุเท่าไหร่ ? โดยปกติแล้ว ผู้ชายจะยังมีความต้องการทางเพศอยู่จนกระทั่งถึงอายุ 60-70 ปี อย่างไรก็ตาม ระดับความต้องการทางเพศนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น อายุ ความเครียด ไลฟ์สไตล์ โรคประจำตัว ทำให้ผู้ชายบางรายอาจเสื่อมสมรรถภาพเร็วหรือช้ากว่านั้น [embed-health-tool-bmi] เสื่อมสมรรถภาพ หมายถึง อะไร ผู้ชายเสื่อมสมรรถภาพ หมายถึง การหมดความสนใจเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศทุกชนิด หมดอารมณ์หรือไม่มีความต้องการทางเพศเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งการที่องคชาตไม่แข็งตัว หรือใช้เวลานาน รวมทั้งการถึงจุดสุดยอดช้า หรือไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้ ทั้งนี้ อาการเสื่อมสมรรถภาพเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่โดยปกติแล้ว มักเกิดขึ้นได้ในผู้ชายวัยทอง หรือในช่วงอายุระหว่าง 40 – 65 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ร่างกายเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์ เนื่องจากอัณฑะเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน และเทสโทสเทอโรนค่อย ๆ ลดลง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปรวมทั้งความต้องการทางเพศและความสามารถในการทำกิจกรรมทางเพศที่ลดลงด้วยเช่นกัน สัญญาณเตือนอาการเสื่อมสมรรถภาพ การเสื่อมสมรรภาพทางเพศ ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากร่างกายเริ่มเสื่อมถอย อย่างไรก็ตาม หากต้องการทราบว่าตอนเองเสื่อมสมรรภาพทางเพศหรือไม่ อาจลองสังเกตสัญญาณต่อไปนี้ หมดความสนใจในกิจกรรทางเพศ รวมทั้งการช่วยตัวเอง ไม่มีจินตนาการเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ หรือแทบจะไม่คิดถึงการมีเพศสัมพันธ์ ไม่มีความสุขที่ตัวเองหมดอารมณ์ทางเพศหรือไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องเพศ สาเหตุที่ทำให้ ผู้ชายเสื่อมสมรรถภาพ สาเหตุที่ทำให้ความต้องการทางเพศลดน้อยลงนั้นมีด้วยกันหลายปัจจัย […]


สุขภาพทางเพศ

การฝันเปียก และการมีประจําเดือน มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ผู้หญิงและผู้ชายที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นอาจมีข้อสงสัยว่า การฝันเปียก และการมีประจําเดือน มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ซึ่งตามปกติทั้ง 2 อาการนี้เป็นสัญญาณของวัยเจริญพันธุ์ที่พร้อมในการสืบพันธุ์ หากทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสอดใส่และหลั่งใน ก็สามารถเกิดการตั้งครรภ์ได้ทันที [embed-health-tool-ovulation] ฝันเปียก คืออะไร ฝันเปียก คือ การหลั่งน้ำอสุจิออกมาจากอวัยวะเพศชายขณะหลับ โดยปกติแล้วฝันเปียกจะเกิดขึ้นขณะนอนหลับและอาจกำลังฝันถึงเรื่องเพศ ในความฝันสามารถปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศจนสามารถทำให้บุคคลถึงจุดสุดยอดขณะหลับได้ โดยที่ไม่ต้องสัมผัสกับอวัยวะเพศ ฝันเปียกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ฝันเปียกมักเกิดขึ้นครั้งแรกในวัยแรกรุ่นอายุประมาณ 13 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัยเจริญพันธุ์ โดยร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และอัณฑะเริ่มผลิตตัวอสุจิกับน้ำอสุจิ จากนั้นร่างกายจะปล่อยน้ำอสุจิออกมาเมื่อเกิดการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ โดยเฉพาะในขณะหลับ จึงถูกเรียกว่า ฝันเปียก ประจำเดือนคืออะไร ประจำเดือน คือ เลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างเป็นวัฏจักรในทุก ๆ เดือน เมื่อถึงช่วงตกไข่ รังไข่จะปล่อยไข่ไปยังท่อนำไข่เพื่อรอการผสมและปฏิสนธิ แต่หากไม่มีตัวอสุจิมาผสม ไข่และเยื่อบุโพรงมดลูกจะสลายตัวกลายเป็นเลือดประจำเดือน และไหลออกมาจากช่องคลอดในทุก ๆ เดือน ประจำเดือนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ประจำเดือนมักเกิดขึ้นครั้งแรกในผู้หญิงวันแรกรุ่นที่อายุประมาณ 12-13 ปี ซึ่งเป็นวันเจริญพันธุ์ โดยปกติรอบเดือนจะเกิดขึ้นในทุก 28-30 วัน และจะตกไข่ในวันที่ 14 หากไม่มีการผสมกับอสุจิในช่วงเวลานี้ ไข่และเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะสลายกลายเป็นประจำเดือน ในขณะเดียวกันผู้หญิงบางคนที่เป็นประจำเดือนอาจมีอาการปวดท้อง ปวดหลังส่วนล่าง ปวดเมื่อยร่างกาย อารมณ์แปรปรวน หรืออาจไม่มีอาการอะไรเลย การฝันเปียก และการมีประจําเดือน มีความสัมพันธ์กันอย่างไร การฝันเปียกและการมีประจำเดือนมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน เนื่องจากทั้ง 2 อาการเป็นสัญญาณของวัยเจริญพันธุ์ […]


โรคเริมที่อวัยวะเพศและเริมที่ปาก

โรคเริมเกิดจากอะไร รักษาได้อย่างไร

โรคเริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง พบได้บริเวณมุมปากหรือรอบปาก และบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก เนื่องจากเป็นโรคที่พบได้บ่อยและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การทราบว่า โรคเริมเกิดจากอะไร และจะรักษาให้หายได้อย่างไร จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้ [embed-health-tool-bmi] โรคเริม คืออะไร โรคเริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex หรือ HSV) ติดต่อได้ผ่านการสัมผัสกับเชื้อจากปากสู่ปาก ทางปากกับอวัยวะเพศ หรือระหว่างอวัยวะเพศกับอวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ โรคนี้รักษาไม่หายขาด เมื่อได้รับเชื้อไวรัสเริมแล้วจะมีเชื้ออยู่ในร่างกายตลอดชีวิต โดยทั่วไปมักไม่แสดงอาการ แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เช่น เริมที่ริมฝีปาก (Cold sore) ลักษณะเป็นแผลพุพองขนาดเล็กเมื่อแผลแตกออกอาจทำให้ปวดแสบปวดร้อน รู้สึกเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก อาการอาจกำเริบได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้ เด็กทารกและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติ เช่น ผู้ที่เคยปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคมะเร็ง อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคเริมได้ โรคเริมเกิดจากอะไร โรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus) ที่แพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงหรือการสัมผัสผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ และติดต่อได้ง่ายที่สุดเมื่อแผลเปิดและเปียกน้ำ เนื่องจากของเหลวจากแผลเริมจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ไวกว่าเดิม และถึงแม้จะเป็นโรคเริมแบบไม่แสดงอาการ ก็สามารถแพร่เชื้อเริมไปสู่บุคคลอื่นได้เช่นกัน เชื้อเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ เชื้อเริมชนิดที่ 1 (Herpes […]


สุขภาพทางเพศ

อายุ 45 หมดประจำเดือน ผิดปกติหรือไม่ และควรดูแลตัวเองอย่างไร

โดยปกติแล้ว ผู้หญิงจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนตอนอายุ 50 ปี ซึ่งสามารถสังเกตได้จากภาวะประจำเดือนไม่มาติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน แต่หากผู้หญิง อายุ 45 หมดประจำเดือน ร่วมกับมีอาการร้อนวูบวาบ หนาวสั่น เหงื่อออกเยอะในตอนกลางคืน เป็นต้น ก็อาจหมายถึงว่าเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือวัยทองแล้ว ภาวะนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดลง ทำให้รังไข่หยุดทำงานและหยุดปล่อยไข่ ประจำเดือนจึงไม่มาและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากอาการของวัยหมดประจำเดือนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาวิธีรับมืออย่างเหมาะสม [embed-health-tool-ovulation] อายุ 45 หมดประจำเดือน ผิดปกติหรือไม่ ภาวะหมดประจำเดือน หรือที่เรียกว่า วัยทอง เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไป ผู้หญิงส่วนใหญ่จะหมดประจำเดือนในช่วงอายุ 45-55 ปี หากผู้หญิง อายุ 45 หมดประจำเดือน จึงไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด ทั้งนี้ ช่วงอายุที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนของผู้หญิงแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ไม่สามารถระบุหรือคำนวณล่วงหน้าได้อย่างแน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อาจต้องอาศัยการสังเกตอาการหรือความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองที่เป็นสัญญาณของวัยใกล้หมดประจำเดือนหรือระยะเริ่มต้นของวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause) เช่น อารมณ์แปรปรวนกว่าปกติ รู้สึกร้อนวูบวาบ ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนก่อนประจำเดือนจะหมด ทั้งนี้ บางคนอาจแทบไม่แสดงอาการที่สังเกตได้ หรือบางคนก็อาจมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางคนอาจมีภาวะหมดประจำเดือนเร็วกว่าคนทั่วไปหลายปี ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้ ภาวะหมดประจำเดือนก่อนกำหนด (Early menopause) […]


การคุมกำเนิด

กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง เกิดจากอะไร กินยาคุมฉุกเฉินยังไงให้ได้ผล

ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดอย่างเร่งด่วนเนื่องจากมีเหตุจำเป็น เช่น ถุงยางหลุดหรือแตกขณะหลั่งน้ำอสุจิ ลืมกินยาคุมกำเนิด หลั่งในโดยไม่ตั้งใจ อาจสนใจกินยาคุมฉุกเฉิน และสงสัยว่า กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง เป็นไปได้หรือไม่ และมีสาเหตุมาจากอะไร โดยปกติแล้ว ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ 75-85% เมื่อรับประทานภายใน 72-150 ชั่วโมง (3-5 วัน) หลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หากกินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง อาจเกิดจากกินยาช้าเกินไป ยาคุมฉุกเฉินมีปฏิกิริยากับยารักษาโรคอื่น ๆ มีการตกไข่เกิดขึ้นก่อนกินยา เป็นต้น ทางที่ดี ผู้ที่ไม่ประสงค์จะมีลูกควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุมกำเนิด ทั้งยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย [embed-health-tool-bmi] กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง เกิดขึ้นได้หรือไม่ ยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาเม็ดที่รับประทานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือคิดว่าการคุมกำเนิดที่ใช้ไม่ได้ผล โดยทั่วไป หากใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินภายในเวลาไม่ 72-150 ชั่วโมงหลังหลั่งในช่องคลอด ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เช่นเดียวกับการกินยาคุมกำเนิดตามปกติ ทั้งนี้ ยิ่งกินยาคุมฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยให้ยามีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์มากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็อาจ กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง ได้เช่นกัน เนื่องจากอาจกินยาคุมฉุกเฉินไม่ถูกวิธีหรือกินยาช้าเกินไปจนตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งผสมกันของไข่และอสุจิได้ทันเวลา แต่การกินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้องก็เป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อยนัก กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง เกิดจากอะไร การ กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง อาจเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้ กินยาคุมฉุกเฉินช้าเกินไป (เกิน 72-150 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์) ทำให้ยาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เกิดการตกไข่ก่อนกินยาคุมฉุกเฉิน ทำให้ยาไม่สามารถยับยั้งการตกไข่ได้ทัน […]

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม