ช่วยลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
อะโวคาโดมีโฟเลตหรือวิตามินบี 9 สูง โฟเลตอาจช่วยป้องกันการคั่งของสารโฮโมซีสทีนหรือโฮโมซีสเทอีน (Homocysteine) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการย่อยสลายอาหารประเภทโปรตีน หรือกรดอะมิโนจำเป็น ชื่อว่า เมทไธโอนิน (Methionine) เมื่อร่างกายมีสารโฮโมซีสทีนมากเกินไป จะทำให้การไหลเวียนเลือดและการลำเลียงสารอาหารไปเลี้ยงสมองผิดปกติ อีกทั้งสารนี้ยังอาจไปรบกวนการหลั่งเซโรโทนิน (Serotonin) โดพามีน (Dopamine) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อภาวะเครียด ช่วยควบคุมอารมณ์ การนอนหลับ และความอยากอาหาร เมื่อสภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ผิดปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม อะโวคาโด อาจช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Psychiatric Research เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโฟเลตและโรคซึมเศร้า พบว่า ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ามีระดับโฟเลตในร่างกายต่ำ และรับประทานโฟเลตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า จึงอาจกล่าวได้ว่า การรับประทานโฟเลตในประมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าได้
ดีต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย
อะโวคาโดอุดมไปด้วยไฟเบอร์ทั้งชนิดละลายในน้ำและชนิดไม่ละลายในน้ำ ที่เป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ เมื่อลำไส้มีแบคทีเรียชนิดดีมากขึ้น ก็อาจช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย ทำให้ย่อยอาหารได้ดี ไม่เสี่ยงเกิดท้องผูก ซึ่งอาจส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ลดลงได้
ข้อมูลจาก Thai Recommended Daily Intake (Thai RDI) ระบุว่า เด็กควรได้รับไฟเบอร์ต่อวันเท่ากับจำนวนอายุ (ปี) + 5 เช่น อายุ 10 ปี ควรได้รับไฟเบอร์ 15 กรัมต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรได้รับไฟเบอร์ประมาณ 25 กรัมต่อวัน ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับอายุและภาวะสุขภาพอื่น ๆ ด้วย เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร อาจต้องได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่แตกต่างออกไป จึงควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อให้ทราบปริมาณไฟเบอร์ที่เหมาะสมที่สุด
ข้อควรระวังในการบริโภค อะโวคาโด
แม้อะโวคาโดจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ไม่ควรรับประทานอะโวคาโด หรืออาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป ทางที่ดี ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน อีกทั้งอะโวคาโดยังมีไขมันและไฟเบอร์สูง ซึ่งร่างกายอาจต้องใช้เวลาย่อยสารอาหารทั้งสองชนิดนี้นานกว่าสารอาหารชนิดอื่น ๆ จึงอาจช่วยผลให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น และเมื่อรู้สึกอิ่ม ก็อาจรับประทานอาหารน้อยลง จนส่งผลให้ขาดสารอาหารได้
ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยากันเลือดแข็ง เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) ควรปรึกษาคุณหมอก่อนรับประทานอาหารที่มีวิตามินเคสูง เช่น อะโวคาโด เพราะอาจทำให้ร่างกายมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดได้
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้อะโวคาโด หรือภูมิแพ้ยาง ควรงดบริโภคอะโวคาโด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ หากรับประทานอะโวคาโดแล้วน้ำมูกไหล หายใจมีเสียงหวีด ไอ และมีอาการบวมน้ำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเป็นภูมิแพ้อะโวคาโด ควรหยุดรับประทานอะโวคาโด และเข้าพบคุณหมอทันที โดยเฉพาะหากมีอาการแพ้รุนแรง เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย