backup og meta

ร้อนในเกิดจาก สาเหตุอะไร รักษาได้อย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 29/11/2022

    ร้อนในเกิดจาก สาเหตุอะไร รักษาได้อย่างไร

    ร้อนใน เป็นแผลในช่องปากบริเวณริมฝีปากด้านใน เหงือก ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม มักทำให้รู้สึกเจ็บ รวมทั้งอาจทำให้กลืนอาหารยากหรือพูดได้ลำบาก หากถามว่า ร้อนในเกิดจาก อะไร? คำตอบคือ ร้อนในเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการแปรงฟันแรงเกินไป การเผลอกัดปากหรือลิ้นของตนเอง การขาดสารอาหาร การรับประทานอาหารที่เป็นกรด หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย

    ร้อนในคืออะไร

    ร้อนใน เป็นแผลในปากที่มักเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปากทั้งด้านนอกและผนังด้านใน เหงือก ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม เมื่อเป็นแผลร้อนในมักทำให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวกหรือพูดคุยได้ลำบาก

    ร้อนใน สามารถแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ได้ ดังนี้

    • ร้อนในขนาดเล็ก เป็นร้อนในชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ขอบเป็นรูปวงกลม และอาจหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
    • ร้อนในขนาดใหญ่ เป็นร้อนในที่มักพบในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวีหรือการทำเคมีบำบัด ร้อนในขนาดใหญ่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1-3 เซนติเมตร ขอบไม่เป็นวงกลม และอาจหายได้เองภายใน 3-6 สัปดาห์
    • แผลเปื่อยเฮอร์เพติฟอร์ม (Herpetiform Ulcer) เป็นร้อนในชนิดที่พบได้น้อยที่สุด โดยเป็นแผลขนาดเล็กจำนวนมากที่รวมกันเป็นแผลใหญ่แผลเดียว ลักษณะคล้ายกับอาการของโรคเริมแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยทั่วไป ร้อนในชนิดนี้มักหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน

    ร้อนในเกิดจาก สาเหตุอะไร

    ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของร้อนใน แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

    • อาการบาดเจ็บเล็กน้อยภายในช่องปาก เนื่องจากการแปรงฟัน การเล่นกีฬา หรือการกัดโดยไม่ตั้งใจ
    • การรับประทานอาหารที่มีความเป็นกรดสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำมะนาว
    • การขาดสารอาหารประเภทวิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก สังกะสี และโฟเลต (Folate)
    • การแพ้อาหาร หรือแพ้สารที่อยู่ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก
    • การติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะช่วงที่มีประจำเดือน
    • การพักผ่อนหรือดื่มน้ำน้อย

    ร้อนใน รักษาได้อย่างไร

    เมื่อเป็นร้อนในแล้วไปพบคุณหมอ มักได้รับการรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้

    • ให้อมน้ำยาบ้วนปากที่ผสมเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) หรือลิโดเคน (Lidocaine) โดยตัวยาทั้ง 2 ชนิดมีฤทธิ์บรรเทาอาการเจ็บปวดของอาการร้อนใน
    • ใช้ยาทาหรือเจลที่ผสมตัวยาอย่างเบนโซเคน (Benzocaine) ฟลูโอซิโนไนด์ (Fluocinonide) หรือไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) ซึ่งมีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด
    • ในกรณีอาการร้อนในรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น คุณหมอจะจ่ายยาซูคราลเฟต (Sucralfate) โคลชิซิน (Colchicine) หรือสเตียรอยด์ (Steroid) ให้รับประทาน
    • จี้บริเวณที่เป็นร้อนในด้วยสารเคมีอย่าง ดีแบคเตอรอล (Debacterol) ซึ่งอาจช่วยทำให้ร้อนในหายเร็วยิ่งขึ้น
    • จ่ายอาหารเสริมหรือวิตามินให้รับประทาน ในกรณีร้อนในเกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก สังกะสี และโฟเลต (Folate)

    ทั้งนี้ หากไม่ต้องการไปพบคุณหมอ อาจเลือกดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการร้อนในด้วยวิธีการต่อไปนี้

    • บ้วนปากด้วยน้ำอุณหภูมิห้องผสมเกลือและผงฟู
    • ใช้คอตตอนบัดป้ายยาแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide) บริเวณที่เป็นร้อนใน

    ร้อนใน ป้องกันได้อย่างไร

    ร้อนในสามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้ง แต่อาจป้องกันได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

    • เคี้ยวอาหารอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการเคี้ยวโดนกระพุ้งแก้มหรือริมฝีปาก
    • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่อาจทำให้ภายในปากระคายเคือง เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ผักรสเปรี้ยว ของเผ็ดต่าง ๆ น้ำอัดลม
    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
    • เลือกใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงอ่อนนุ่ม ไม่แข็งเกินไป และไม่ควรแปรงฟันรุนแรงเกินไป
    • รับประทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อลดโอกาสขาดสารอาหารที่จำเป็น
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน
    • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอและหาวิธีจัดการความเครียด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 29/11/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา